ผู้ค้าจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

นอกเหนือจากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนแล้ว การประชุมเฟดก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ แม้ว่าจะไม่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ แต่บรรดานักลงทุนจะคอยจับตาดูเบาะแสจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น (หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ที่ผ่านมาสูงกว่าที่คาดไว้ในเดือนเมษายน) ทำให้เฟดไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะใช้มาตรการผ่อนปรนมากขึ้น และแม้แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่เป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ

โดยพื้นฐานแล้ว ตลาดจะประเมินน้ำเสียงของประธานเฟด พาวเวลล์ เพื่อประเมินว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ฉันคาดว่าเจอโรม พาวเวลล์ (เช่นเดียวกับตลาดการเงินอื่นๆ) จะรอเพื่อดูว่าเรื่องภาษีศุลกากรจะดำเนินไปอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนที่จะสามารถระบุผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจได้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน เช่น คำถามว่าสหรัฐฯ จะลงนามข้อตกลงการค้าได้กี่ข้อในช่วงที่หยุดชะงักการขึ้นภาษีศุลกากร 90 วัน และกับใคร นี่เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดผลกระทบของ GDP ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลก ดังนั้น เมื่อคำถามเกี่ยวกับภาษีศุลกากรยังคงไม่มีคำตอบมากมายในขณะนี้ พาวเวลล์น่าจะส่งสารเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนคาดเดาไม่ได้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับใดในปี 2025

ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากทรัมป์ขู่ที่จะขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ยา และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยทองคำทะลุแนวต้านที่ 3,350 ดอลลาร์ และดีดตัวกลับขึ้นไปเหนือ 3,400 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ราคาทองคำลดลงในระดับหนึ่ง โดยโลหะมีค่าร่วงลงมาต่ำกว่า 3,400 ดอลลาร์อีกครั้ง (ณ การซื้อขายช่วงเช้าของเอเชียในวันพุธ) แนวรับอยู่ที่ 3,351 ดอลลาร์ (แนวต้านเดิมกลายมาเป็นแนวรับ) และอีกครั้งที่ 3,295 ดอลลาร์ ส่วนแนวต้านรออยู่ที่ 3,450 ดอลลาร์ และ 3,485 ดอลลาร์ ในระยะยาว แนวโน้มขาขึ้นของทองคำยังคงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม โลหะมีค่าอาจเผชิญกับการชะลอตัวในระยะใกล้ หากความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้าทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง

‍

ความผันผวนของตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ ประการแรก ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงต้นสัปดาห์หลังจากที่กลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มการผลิตอีกครั้งในเดือนหน้า อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในสัปดาห์ หลังจากซื้อขายที่ระดับ 55 ดอลลาร์ สัญญาน้ำมันดิบ WTI (น้ำมันดิบของสหรัฐฯ) กำลังเคลื่อนตัวกลับเข้าสู่ระดับ 60 ดอลลาร์ โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 59.27 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของวันพุธ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ ก่อนที่จะแตะระดับ 61.17 ดอลลาร์ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 57.37 ดอลลาร์ ในระยะใกล้ๆ ความหวังในการเจรจาการค้าเพิ่มเติมใดๆ อาจช่วยหนุนราคาน้ำมันจากมุมมองของอุปสงค์ แม้ว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการผลิตของกลุ่ม OPEC+ อาจปิดกั้นศักยภาพขาขึ้น

‍

นอกเหนือจากการประชุม FOMC ของสหรัฐฯ แล้ว ปฏิทินเศรษฐกิจก็ดูค่อนข้างเบาบางในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ เราจะได้ทราบผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัสบดี (ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25bp) ในขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของจีนมีกำหนดจะเผยแพร่ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ฉันคาดว่าการพัฒนาของภาษีศุลกากร (หรือการขาดไปของภาษี) จะยังคงเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดสกุลเงินต่อไป

‍